Input your search keywords and press Enter.

กรมเจ้าท่าลุยตรวจรีสอร์ทดังตำบลบางเสร่รุกทะเล


*****กรมเจ้าท่าลุยตรวจรีสอร์ทดังตำบลบางเสร่ เผยแจ้งความดำเนินคดีตามกฏหมายพร้อมลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าปัญหาก่อสร้างที่พักหรูรุกทะเลหาประโยชน์ทางธุรกิจ ระบุศาลชั้นต้นพิพากษายืนตามคำสั่ง แต่ต้องรอผลพิพากษาอีกรอบหลังผู้ประกอบการอุทธรณ์อีกรอบต่อศาลปกครองสูงสุด ระบุหากศาลยืนตามคำสั่งเดิมต้องรื้อสถานเดียวแถมมีโทษหนักทั้งปรับและจำคุกตามกฎหมายใหม่


*****วันนี้ (2 ธ.ค.) นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธ์ ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ กรมเจ้าท่า นำคณะและกำลังเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 เดินทางเข้าตรวจสอบปัญหาการก่อ สร้างสะพานและอาคารรุกล้ำลำน้ำ ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรูริมทะเล ตั้งอยู่เลขที่ 4/2 ม.5 ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื่อง จากก่อนหน้านี้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าการสิ่งปลูกสร้างล่วงล้ำเข้าไปในทะเล บริเวณอ่าวบางเสร่ อ.สัตหีบ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ซึ่งมีลักษณะเป็นโครงสร้างคอนกรีต และบางส่วนเป็นลานอเนกประสงค์ ซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. สิ่งปลูกสร้างขนาดกว้าง 13.5 เมตร ยาว 24.5 เมตร รวมพื้นที่ล่วงล้ำลำน้ำ 330.75 ตารางเมตร ซึ่งทางกรมได้แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 2.ลานเอนกประสงค์ขนาด 3×4 เมตร 2.8×2.4 เมตร และ 2.9×2 เมตร โดยครอบคลุมพื้นที่ล่วงล้ำฯขนาด 12×102 เมตร รวมพื้นที่ 1,224 ตารางเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ตามพื้นที่ส่วนที่ 4 ขนาด 8×10 เมตร รวมพื้นที่แจ้งความดำเนิน คดีแล้ว 80 ตารางเมตร ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่ล่วงล้ำขึ้นมาใหม่ขนาด 1,144 ตารางเมตร และ 3.พื้นที่ล่วงล้ำดัง กล่าวยังครอบคลุมพื้นที่ทะเล บริเวณอ่าวบางเสร่ขนาด 73×12 เมตร เป็นพื้นที่ล่วงล้ำ 876 ตารางเมตร ทั้งนี้จากพื้นที่ทั้ง 3 ส่วนพบว่ารวมพื้นที่สิ่งล่วงล้ำทางน้ำประมาณ 2,430.75 ตารางเมตร จึงได้มอบหมายให้ทางสำ นักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพัทยา ประสานมายังเจ้าของอาคารให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ในฐานความผิดข้อหาปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า ตามมาตรา 117 แห่ง พ.ร.บ.การเดินเรือในน่าน น้ำไทย


*****นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ กรมเจ้าท่า เปิด เผยว่า สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ถือเป็นการตรวจสแกนพื้นที่ล่วงล้ำลำน้ำที่ผิดกฎหมายและต้องดำเนินการรื้อถอนตามคำสั่งของกรมเจ้าท่าซึ่งตรวจพบว่ามีปัญหาในเขตพื้นที่ตำบลบางเสร่ อ.สัตหีบ โดยจาการตรวจสอบพบว่าสิ่งปลูกสร้างดำเนินการก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งถือว่ามีความผิดตามกฏหมาย กรณีนี้ทางกรมเจ้าท่าจึงได้ออกคำสั่งให้รื้อถอนไปแล้วตามระยะเวลาที่กำหนด แต่เจ้าของอาคารได้มีการอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองซึ่งต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาให้ยืนตามคำสั่งของกรมเจ้าท่า แต่ได้มีการอุทธรณ์ต่อไปยังศาลปกครองสูงสุดซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการรอคำพิพากษา อย่างไรก็ตามการก่อสร้างอาคารล่วงล้ำลำน้ำจะต้องมีการบังคับให้รื้อถอนเพราะถือเป็นสิ่งที่ไม่พึงอนุญาตแต่เดิม โดยกฎหมายที่ออกมาล่าสุดได้มีการลง โทษที่รุนแรงไปกว่ากฎหมาเดิมของ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย ฉบับที่ 14 ที่มีการโทษปรับเพียงตารางเมตรละ 500-10,000 บาท แต่ปัจจุบันกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้มีการเพิ่มอัตราค่าปรับเพิ่มเป็นตารางเมตรละ1,000-20,000 บาท รวมทั้งมีการเพิ่มโทษจำคุก 3 ปีด้วย ดังนั้นหากทางกรมเจ้าท่าได้มีคำสั่งให้รื้อถอนภายในกำหนดระยะเวลา 60 วันแล้วไม่มีการรื้อถอนตามคำสั่ง โดยมีการอุทธรณ์ต่อสู้กันในชั้นศาลปกครองแล้วและสุดท้ายหากศาลปกครองตัดสินคดีให้รื้อถอนตามคำสั่งของกรมเจ้าท่าภายในเวลา 1 ปี ก็จะต้องมีการคิดค่าเปรียบเทียบปรับตามกฏหมายของกรมเจ้าท่าเป็นรายวันจำนวน 360 วัน นอกจากนี้ผู้ประกอบการจะต้องถูกศาลปรับรายวันอีกนอกจากที่ต้องจ่ายค่าปรับตามคดีอาญาแล้ว สำหรับในส่วนของพื้นที่โรงแรมดังกล่าวกรมเจ้าท่าได้ออกคำสั่งให้รื้อถอนไปแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยกำหนดระยะเวลา 180 วัน เพราะพบว่ามีการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำถีง 4,000 กว่าตารางเมตร ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากศาลปกครองชั้นต้นไปแล้ว แต่ยังติดการพิจารณาคำอุทธรณ์อยู่ในขั้นศาลปกครองสูงสุดซึ่งหากยืนตามคำส่งศาลชั้นต้น เจ้าของอาคารก็ต้องดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ทันที ซึ่งหากไม่ดำเนินการทางกรมเจ้าท่าก็จะเข้ามาดำเนินการรื้อถอนเองและจะมีการไปเรียกค่าใช้จ่ายจากทางเจ้าของอาคารต่อไป


*****นายภูริพัฒน์ กล่าวต่อไปว่าปัจจุบันพบว่ายังมีสิ่งปลูกสร้างที่ลุกล้ำลำน้ำในเขตจังหวัดชลบุรีอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งทางกรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตรวจสอบมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ชุมชนบ้านเกาะล้าน เขตเมืองพัท ยา จ.ชลบุรี ซึ่งมีลักษณะเป็นรีสอร์ทที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวที่นำพื้นที่ทะเลที่ประชาชนมีสิทธิ์ใช้ประโยชน์ร่วม กันมาหาประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งพบว่าจากการตรวจสอบมีจำนวนถึง 25 ราย แต่ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการพิจาร ณาคำอุทธรณ์ในชั้นศาลปกครองเช่นกัน….